วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

NAFTA

NAFTA
ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ หรือเรียกคำย่อว่า นาฟตา เป็นองค์กรทางเศรษฐกิจในทวีปอเมริกาเหนือ ในการที่จะร่วมมือกันแสวงหาตลาดส่งออกและลดต้นทุนการผลิตสินค้า เพื่อให้มีราคาถูกลง สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้
ประวัติการก่อตั้ง
หลังจากที่สหภาพยุโรป ได้แก้ปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยการเปิดตลาดเสรีเป็นตลาดเดียวแล้ว ผู้นำแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดาและเม็กซิโกได้จัดประชุมกันเมื่อ พ.ศ.2535 ที่จะเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกันให้เป็นตลาดเดียว และจะลดอัตราภาษีศุลกากรให้เหลือร้อยละ 0 ภายใน 5 ปี โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2537 เป็นต้นไป
วัตถุประสงค์ในการก่อตั้ง
1. เพื่อแสวงหาตลาดสินค้าส่งออกในภูมิภาคอื่น
2. เพื่อส่งเสริมการจ้างงาน การเคลื่อนย้ายแรงงาน ที่จะผลิตสินค้าให้ได้ราคาถูกและมีคุณภาพดี
3. เพื่อส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็กให้ขยายตัวและมีประสิทธิภาพสูง
ผลการปฏิบัติงาน
ประเทศสมาชิกต่างได้รับผลประโยชน์จากการทำข้อตกลงทางการค้าเสรีอเมริกาเหนือ คือ เม็กซิโก ซึ่งก่อนหน้านี้อัตราแลกเปลี่ยนเงินเปโซตกต่ำมากก็เริ่มแข็งตัวขึ้น ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซากลับฟื้นและดีขึ้นโดยลำดับ ทั้งนี้เพราะสหรัฐอเมริกาปล่อยสินเชื่อระยะยาว ลดอัตราภาษีนำเข้า และอนุญาตให้รถบรรทุกของเม็กซิโกแล่นผ่านเข้าสู่สหรัฐอเมริกาได้ โดยไม่ต้องขนถ่ายสินค้าที่ชายแดน อันเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายและเสียเวลา สหรัฐอเมริกา มีสินค้าส่งออกไปเม็กซิโกและแคนาดามากขึ้น ทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวขึ้น และทำให้มีตำแหน่งงานเพิ่ม มีการจ้างงานมากขึ้น แคนาดาสามารถซื้อสินค้าของสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกถูกลง อันเนื่องมาจากการลดอัตราภาษีศุลกากร
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ
ไทยไม่ได้เป็นสมาชิกของนาฟตา แต่การดำเนินการงานของนาฟตามีผลกระทบโดยตรงต่อการค้าของไทย คือ การออกกฎเกณฑ์ต่างๆ ของประเทศในกลุ่มนาฟตา ทำให้มีการกระทบต่อสินค้าไทย เช่น ประเทศแคนาดาและเม็กซิโก ได้ออกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของสินค้ารถยนต์ และผ้าผืนที่ทอจากโรงงานและไม่ได้ตัดเย็บจะส่งเข้าไปยังแคนาดาและเม็กซิโก
เป็นการจำกัดและกีดกันสินค้าที่สั่งเข้าจากประเทศไทย ประการหนึ่ง และทำให้ไทยขายสินค้าได้น้อยลง ประเทศเม็กซิโก ขึ้นอัตราภาษีศุลกากร เครื่องหนัง และรองเท้าที่สั่งเข้าจากประเทศนอกกลุ่มนาฟตา ทำให้สินค้าไทยมีราคาสูงขึ้นไปด้วย จึงส่งออกได้น้อยลง
นอกจากนี้ เม็กซิโกซึ่งเป็นสมาชิกของนาฟตา มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของไทย มีแรงงานราคาถูก มีวัตถุดิบและผลิตสินค้าได้คล้ายคลึงกับประเทศไทย จึงคาดกันว่าหากเม็กซิโกได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าอื่นๆ จากสหรัฐอเมริกาในฐานะประเทศภาคีสมาชิก เม็กซิโกจะมีบทบาทในการส่งสินค้าเข้าสหรัฐอเมริกาแทนที่ประเทศไทย ประกอบกับเม็กซิโกอยู่ใกล้กับสหรัฐอเมริกา ทำให้การขนส่งสินค้าทำได้รวดเร็ว และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าประเภทเสื้อผ้า สิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารกระป๋องและชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ซึ่งไทยส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาปีละมากๆ

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

สำนวนน่าสนใจ

v.pousser un soupir = ถอนหายใจ
v.soupirer

v.se passer de = ขาดไม่ได้
v.etre prive de

v.etre doue pour = มีพรสวรรค์

Beuk! j'ai horreur de ca ! = เกลียด/แสดฃอาการไม่ชอบ

Un croissant




La légende veut qu'il s'agisse d'une pâtisserie inventée à Vienne pour célébrer la fin du second siège de Vienne par les troupes ottomanes qui faisaient le siège de la ville (1683), d'où le terme de viennoiserie utilisé pour qualifier ce type de préparation. Alors que l'ennemi décidait d'attaquer la nuit afin de ne pas se faire remarquer, les boulangers viennois, levés avant l'aube donnèrent l'alerte. C'est pour immortaliser cette victoire qu'il leur fut permis de confectionner le « Hörnchen » (petite corne en allemand) avec sa forme qui rappelle le symbole du drapeau ottoman. Cette même légende est parfois (et sans doute plus justement) située à Budapest, alors partie du royaume austro-hongrois.

Une autre version existe et attribue l'invention du croissant, toujours en 1683 à un cafetier de Vienne, nommé "Kolschitsky", lequel ayant récupéré des sacs de café laissés par les Turcs lors de leur départ précipité, aurait eu l'idée de servir ce café accompagné d'une pâtisserie en forme de croissant en souvenir du départ de l'occupant.

Ce serait Marie-Antoinette d'Autriche, originaire de Vienne, qui a officiellement introduit et popularisé le croissant en France à partir de 1770. Cependant des gâteaux en forme de croissant semblent avoir déjà existé en France bien avant, puisque dans l'inventaire du patrimoine culinaire français réalisé par le Centre national des arts culinaires on découvre la mention de « quarante gâteaux en croissant » servis à l'occasion d'un banquet offert par la reine de France en 1549 à Paris. Il se peut que l'intention ait été alors de commémorer l'alliance quelques décennies auparavant de François Ier avec le Grand Turc.



S'il y a une part de vérité dans ces légendes, cela n'en reste pas moins des légendes. Personne ne sait exactement où et quand le croissant tel qu'on le connaît aujourd'hui a été inventé, mais c'est très certainement en France et pas avant 1850. Le terme "croissant" se retrouve pour la première fois dans un dictionnaire en 1863. Littré le mentionne ainsi : "Petit pain ou petit gâteau qui a la forme d'un croissant". La première recette a été publiée en 1891, mais elle était différente de celle que l'on retrouve aujourd'hui. La première recette d'un croissant feuilleté a été publiée en France pour la première fois en 1905 et ce n'est que dans les années 1920 que cette "viennoiserie" rencontra le succès. Il apparaît pour le première fois dans le Larousse gastronomique en 1938.

Aujourd'hui, le croissant est un élément traditionnel du petit déjeuner en France et en Roumanie.

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

G-20

The G-20 (more formally, the Group of Twenty Finance Ministers and Central Bank Governors) is a group of finance ministers and central bank governors from 20 economies: 19 of the world's 25 largest national economies, plus the European Union (EU). Collectively, the G-20 economies comprise 90% of global gross national product, 80% of world trade (including EU intra-trade) and two-thirds of the world population.

The G-20 is a forum for cooperation and consultation on matters pertaining to the international financial system. It studies, reviews, and promotes discussion among key industrial and emerging market countries of policy issues pertaining to the promotion of international financial stability, and seeks to address issues that go beyond the responsibilities of any one organization.


In 2008, there are 20 members of the G-20. These include the finance ministers and central bank governors of 19 countries:[3]

Argentina
Australia
Brazil
Canada
China
France
Germany
India
Indonesia
Italy
Japan
Mexico
Russia
Saudi Arabia
South Africa
South Korea
Turkey
United Kingdom
United States

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ดูสิน่ารักดี

Kissing Camel






น่ารู้นะ


Victor Hugo

เมื่อปี 2535 องค์การยูเนสโกได้มอบเหรียญ วิกเตอร์ อูโก ให้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในฐานะที่ทรงปรีชาสามารถทางด้านอักษรศาสตร์ฝรั่งเศส ทรงได้รับเหรียญนี้เป็นลำดับที่ 4 โดยผู้รับรางวัล 3 อันดับแรกเป็นชาวฝรั่งเศสทั้งสิ้น

ในหมู่คนที่ชื่นชอบงานวรรณกรรมย่อมทราบกันโดยทั่วไปว่า วิกเตอร์ อูโก นั้นคือ หนึ่งในนักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักระดับโลก

งานเขียนของ วิกเตอร์ อูโก ถูกจำกัดอยู่ในกลุ่ม เฟรนช์ โรแมนติก เขาได้พัฒนาวรรณกรรมประวัติศาสตร์ในแบบของเขาเอง ด้วยการรวมรายละเอียดความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์กับละครประโลมโลกอันน่าตื่นเต้นด้วยจินตนาการเข้าด้วยกัน

หนึ่งในผลงานของ วิกเตอร์ อูโก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีคือ The Hunchback of Notre Dame และ Les Miserables

วิกเตอร์ อูโก เกิดเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 1802 ที่เมืองเบอร์ซองซง ประเทศฝรั่งเศส บิดาของเขาเป็นทหารในกองทัพของนโปเลียน ผู้รักชีวิตโลดโผนอันตราย หลังจากชีวิตการแต่งงานของบิดามารดาจบลง วิกเตอร์ ก็ตกอยู่ในความดูแลของมารดา ซึ่งได้พาครอบครัวย้ายไปอยู่ปารีส และอิตาลีในเวลาต่อมา วิกเตอร์ อูโก เข้าศึกษาในโรงเรียนหลุยส์-เลอ-กร็องด์ ที่ปารีส ขณะอยู่ในวัยรุ่นตอนต้น เขาได้หัดเขียนเรื่อง แต่งบทกลอน รวมทั้งแปลหนังสือ


ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับวิกเตอร์ อูโกในการเขียนคนสำคัญ คือ ฟร็องซัวส์ เรอเน นักเขียนผู้สถาปนาวรรณกรรมแนวโรแมนติกในช่วงศตวรรษที่ 18 เขาตีพิมพ์ผลงานรวมบทกวีเล่มแรก Odes et Poesies Diverses ในปี 1822 และได้กลายมาเป็นนักเขียนในการสนับสนุนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 และมีวรรณกรรมเล่มแรก Han d'Islande เมื่อปี 1823 หลังจากนั้น 2 ปีจึงถูกนำไปแปลเป็นภาษาอังกฤษและนอร์เวย์ ตามด้วย Bug-Jargal งานวรรณกรรมที่มีสไตล์คล้ายงานของ เซอร์ วอลเทอร์ สก็อตต์ ในปี 1826

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

le bonnet phrygien




หมวกฟรีเจียน เป็นเครื่องหมายของอิสระภาพ เพราะในสมัยโบราณผู้ที่สวมหมวกนี้เป็นพวกทาสที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อย กลุ่มที่ทำการปฎิวัตินิยมสวมหมวกสีแดงติดเครื่องหมายวงกลมสีน้ำเงินขาวด้านข้างจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการปฎิวัติ